<span style="color: #000000"> <span style="font-size: 12pt"> เมื่อ Albert Schweitzer เปิดคลีนิคของเขาในแถบร้อนของทวีปแอฟริกา เขาไม่พบว่าคนไข้ชาวแอฟริกันเป็นมะเร็ง จนกระทั่งคนเหล่านั้น เปลี่ยนไป<br />
<br />
บริโภคอาหารแบบตะวันตก ในปี 1920 นักวิจัยชาวเยอรมันผู้นี้ รายงานว่าหนูทดลองที่เลี้ยงด้วยอาหารที่ปราศจากไขมันไม่เป็นมะเร็ง นับจากนั้น ก็ได้มี การวิจัยที่แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างการบริโภคน้ำมันไม่อิ่มตัว กับการเกิดมะเร็ง<br />
<br />
ในปี ค.ศ. 1987 Lim-Sylianco ได้สืบค้นเอกสารที่ตีพิมพ์ในรอบ 50 ปี ที่แสดงให้เห็นผลของการป้องกันการเกิดโรคมะเร็งของน้ำนมะพร้าว ได้มีการอ้างถึงผลการศึกษาของ Reddy and Maeura (1984) ที่แสดงให้เห็นว่าน้ำมันมะพร้าว ดีกว่าน้ำมันไม่อิ่มตัว ในการป้องกันไม่ให้เกิดโรคมะเร็งลำไส้ และมะเร็งเต้านมของสัตว์ทดลอง จากการกระตุ้นให้เกิดมะเร็งโดยสารเคมี <br />
<br />
นั่นคือ </span></span><br />
<br />
<p style="text-align: center; margin: 0px"><span style="color: #ff0000; font-size: 12pt"> 32% ของสัตว์ทดลองที่เลี้ยงด้วยน้ำมันข้าวโพด เกิดมะเร็งลำไส้</span></p>
<p style="text-align: center; margin: 0px"><span style="font-size: 12pt"> </span></p>
<p style="text-align: center; margin: 0px"><span style="color: #ff0000; font-size: 12pt">ในขณะที่สัตว์ที่เลี้ยงด้วยน้ำมันมะพร้าวเกิดเพียง 3%</span></p><br />
<span style="color: #000000; font-size: 12pt"> ซึ่ง Cohen และคณะสรุปว่า เหตุที่เกิดเช่นนี้ เป็นผลของการกดการทำงานของต่อมไทรอยด์ของน้ำมันไม่อิ่มตัว มีผลในการกดระบบภูมิคุ้มกัน (Immuno-suppressive effect)<br />
<br />
<br />
มีการศึกษาว่าประชากรในเขตร้อนไม่ค่อยมีคนเป็นโรคมะเร็งผิวหนัง ทั้งๆที่ต้องถูกกับแสงแดดที่แรงกล้ามากกว่าผู้คนในแถบอบอุ่น เหตุที่เป็นดังนี้ ก็เพราะคนเหล่านั้นใช้น้ำมันมะพร้าวชโลมตัวก่อนออกแดด ทั้งนี้ก็เพราะน้ำมันมะพร้าวที่ใช้ชโลมตัวนั้นมีสารแอนตีออกซิแดนต์ ช่วยป้องกันไม่ให้ผิวหนังถูกทำลายโดนอนุมูลอิสระ และเมื่อบริโภคน้ำมันมะพร้าวเข้าไป จะช่วยให้ร่างกายดูดและเคลื่อนย้ายวิตามินอี ที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย</span><br />
<br />
<span style="color: #0000ff; font-size: 12pt"> ติดตามอ่านต่อใน การใช้น้ำมันมะพร้าวป้องกันโรคมะเร็ง (ตอนที่2)</span><br />
<br />
บริโภคอาหารแบบตะวันตก ในปี 1920 นักวิจัยชาวเยอรมันผู้นี้ รายงานว่าหนูทดลองที่เลี้ยงด้วยอาหารที่ปราศจากไขมันไม่เป็นมะเร็ง นับจากนั้น ก็ได้มี การวิจัยที่แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างการบริโภคน้ำมันไม่อิ่มตัว กับการเกิดมะเร็ง<br />
<br />
ในปี ค.ศ. 1987 Lim-Sylianco ได้สืบค้นเอกสารที่ตีพิมพ์ในรอบ 50 ปี ที่แสดงให้เห็นผลของการป้องกันการเกิดโรคมะเร็งของน้ำนมะพร้าว ได้มีการอ้างถึงผลการศึกษาของ Reddy and Maeura (1984) ที่แสดงให้เห็นว่าน้ำมันมะพร้าว ดีกว่าน้ำมันไม่อิ่มตัว ในการป้องกันไม่ให้เกิดโรคมะเร็งลำไส้ และมะเร็งเต้านมของสัตว์ทดลอง จากการกระตุ้นให้เกิดมะเร็งโดยสารเคมี <br />
<br />
นั่นคือ </span></span><br />
<br />
<p style="text-align: center; margin: 0px"><span style="color: #ff0000; font-size: 12pt"> 32% ของสัตว์ทดลองที่เลี้ยงด้วยน้ำมันข้าวโพด เกิดมะเร็งลำไส้</span></p>
<p style="text-align: center; margin: 0px"><span style="font-size: 12pt"> </span></p>
<p style="text-align: center; margin: 0px"><span style="color: #ff0000; font-size: 12pt">ในขณะที่สัตว์ที่เลี้ยงด้วยน้ำมันมะพร้าวเกิดเพียง 3%</span></p><br />
<span style="color: #000000; font-size: 12pt"> ซึ่ง Cohen และคณะสรุปว่า เหตุที่เกิดเช่นนี้ เป็นผลของการกดการทำงานของต่อมไทรอยด์ของน้ำมันไม่อิ่มตัว มีผลในการกดระบบภูมิคุ้มกัน (Immuno-suppressive effect)<br />
<br />
<br />
มีการศึกษาว่าประชากรในเขตร้อนไม่ค่อยมีคนเป็นโรคมะเร็งผิวหนัง ทั้งๆที่ต้องถูกกับแสงแดดที่แรงกล้ามากกว่าผู้คนในแถบอบอุ่น เหตุที่เป็นดังนี้ ก็เพราะคนเหล่านั้นใช้น้ำมันมะพร้าวชโลมตัวก่อนออกแดด ทั้งนี้ก็เพราะน้ำมันมะพร้าวที่ใช้ชโลมตัวนั้นมีสารแอนตีออกซิแดนต์ ช่วยป้องกันไม่ให้ผิวหนังถูกทำลายโดนอนุมูลอิสระ และเมื่อบริโภคน้ำมันมะพร้าวเข้าไป จะช่วยให้ร่างกายดูดและเคลื่อนย้ายวิตามินอี ที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย</span><br />
<br />
<span style="color: #0000ff; font-size: 12pt"> ติดตามอ่านต่อใน การใช้น้ำมันมะพร้าวป้องกันโรคมะเร็ง (ตอนที่2)</span><br />