RSS

โพสต์บล็อกที่ติดแท็ก'น้ำมันมะพร้าว'

ประโยชน์น้ำมันมะพร้าว มาดู ดีต่อสุขภาพยังไง

 น้ำมันมะพร้าวถูกจัดว่าเป็นน้ำมันที่ดีต่อสุขภาพมากกว่าน้ำมันช­นิดอื่น เพราะมีกรดไขมันอิ่มตัวสายปานกลาง ร่างกายดึงไปเผาผลาญได้เร็ว นอกจากนี้ยังมีแร่ธาตุสำคัญและวิตามินละลายในไขมันบางชนิด เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม เบต้าแคโรทีน วิตามินเอ ดี อี เค ที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้งานได้ทันที เพราะคุณค่าเหล่านี้จึงทำให้น้ำมันมะพร้าวมีสรรพคุณต่อสุขภาพใน­หลาย ๆ ด้าน 


 สรรพคุณของน้ำมันมะพร้าวที่มีต่อสุขภาพ 

 

          มาดูกันว่าในน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นนั้นแฝงไว้ด้วยประโยชน์สุขภา­พในเรื่องใดบ้าง 

 

 1. กินแล้วไม่อ้วน 

 

          น้ำมันมะพร้าวให้พลังงานน้อยกว่าน้ำมันชนิดอื่น นั่นคือ 8.6 กิโลแคลอรีต่อกรัม ในขณะที่น้ำมันชนิดอื่นให้พลังงานถึง 9 กิโลแคลอรีต่อกรัม มีกรดไขมันอิ่มตัวที่ไม่ทำให้เกิดสารอนุมูลอิสระและไขมันทรานส์ น้ำมันมะพร้าวช่วยเพิ่มอัตราเมตาบอลิซึมนานถึง 24 ชั่วโมง ทำให้อาหารหรือปริมาณแคลอรีถูกนำไปเผาผลาญมากขึ้น ไม่เหลือเป็นแคลอรีส่วนเกิน ที่จะถูกสะสมเป็นไขมันส่วนเกิน 

 

 2. กระตุ้นการขับถ่าย 

 

          น้ำมันมะพร้าวมีกรดไขมันอิ่มตัวสายปานกลาง ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของลำไส้ใหญ่ จึงช่วยกระตุ้นการขับถ่าย สำหรับคนที่กินน้ำมันมะพร้าวในระยะแรกอาจมีอาการท้องเสีย ถือว่าเป็นอาการปกติ แต่ถ้าหากกินไปสักระยะแล้วยังมีอาการท้องเสียอยู่ ควรหยุดทาน เพราะน้ำมันมะพร้าวอาจไม่เหมาะกับธาตุในร่างกาย 

 

 3. บำรุงกำลัง 

 

          น้ำมันมะพร้าวนั้นกินแล้วย่อยง่าย ร่างกายดูดซึมไปใช้ในกระบวนการเผาผลาญได้ทันที อีกทั้งกินแล้วอิ่มนาน จึงทำให้ร่างกายมีกำลังเพิ่มขึ้นโดยธรรมชาติ ซึ่งไม่ทำให้เกิดผลข้างเคียงใด ๆ ด้วยเหตุนี้ น้ำมันมะพร้าวจึงถูกนำไปบำรุงกำลังแก่นักกีฬาทั้งแบบชงดื่ม และแบบแท่ง รวมถึงเป็นอาหารเสริมสำหรับผู้สูงอายุด้วย 

 

 4. ช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคกลุ่มเสื่อม 

 

          น้ำมันมะพร้าวมีคุณสมบัติลดคอเลสเตอรอลชนิดเลว (LDL) และช่วยเพิ่มคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) จึงช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคกลุ่มเสื่อมต่าง ๆ เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคอ้วน โรคหัวใจ โรคตับ และโรคไต 

 

 5. บำรุงกระดูก 

 

          สารอาหารในน้ำมันมะพร้าวนั้นอุดมไปด้วยแร่ธาตุที่จำเป็นต่อความ­แข็งแรงของกระดูก ได้แก่ แคลเซียม และแมกนีเซียม จึงช่วยเสริมสร้างมวลกระดูก ไม่ให้เปราะ แตกหักง่าย 

 

 6. บำรุงครรภ์ 

 

          น้ำมันมะพร้าวถือว่าเป็นอาหารที่ดีต่อคุณแม่และทารกน้อยในครรภ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหากคุณแม่รับประทานน้ำมันมะพร้าวในช่วงตั้­งครรภ์ ก็จะช่วยให้ทารกมีภูมิคุ้มกันที่ดี และเป็นการเพิ่มคุณค่าของน้ำนมแม่อีกด้วย เพราะในน้ำมันมะพร้าวอุดมไปด้วยกรดลอริก ซึ่งเป็นกรดไขมันที่พบได้ในน้ำนมแม่ นอกจากนี้ยังมีแร่ธาตุแคลเซียมและแมกนีเซียม ที่จะช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง รวมทั้งป้องกันภาวะกระดูกพรุน หรือการสูญเสียแคลเซียมของคุณแม่ในช่วงตั้งครรภ์อีกด้วย 

 

 7. ช่วยให้การนอนหลับดีขึ้น 

 

          ในน้ำมันมะพร้าวอุดมไปด้วยกรดลอริก กรดคาปริก และกรดคาปริลิก ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยผ่อนคลาย การรับประทานน้ำมันมะพร้าวติดต่อกันทุกวันในปริมาณเพียงเล็กน้อ­ยจะช่วยให้คุณนอนหลับได้สนิทขึ้น และยังช่วยบรรเทาอาการอ่อนเพลียเรื้อรัง ลดความเครียด และอาการอ่อนเพลียได้ด้วย 

 

 8. ลดการอักเสบและติดเชื้อ 

 

          น้ำมันมะพร้าวสามารถช่วยบรรเทาอาการเจ็บป่วยต่าง ๆ ที่เกิดจากการติดเชื้อได้ เพราะกรดลอริกในน้ำมันมะพร้าวจะถูกเปลี่ยนเป็น สารมอโนลอริน (monolaurin) มีคุณสมบัติสร้างภูมิคุ้มกัน และมีฤทธิ์ฆ่าแบคทีเรีย ถือเป็นเป็นทั้งยาปฏิชีวนะธรรมชาติที่ช่วยบรรเทาอาการเจ็บป่วยจ­ากการติดเชื้อต่าง ๆ เช่น เชื้อไข้หวัดใหญ่เริม คางทูม เจ็บคอ 

 

 9. บำรุงสุขภาพในช่องปาก 

 

          น้ำมันมะพร้าวมีคุณสมบัติลดการสะสมของแบคทีเรียในช่องปาก อันเป็นสาเหตุให้เกิดคราบพลัคที่จะนำไปสู่ปัญหาต่าง ๆ ภายในช่องปาก เช่น เหงือกอักเสบ เหงือกช้ำ บวม แดง หรือเลือดออกตามไรฟัน รวมถึงอาการติดเชื้อบริเวณลำคอด้วย วิธีใช้คือนำน้ำมันมะพร้าวมาอมบ้วนปากครั้งละ 1-2 ช้อนโต๊ะ วันละ 1 ครั้ง 

 

 10. ช่วยลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง 

 

          น้ำมันมะพร้าวมีกรดไขมันอิ่มตัวสูงถึงร้อยละ 92 ที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย และยังมีวิตามินไบโอที่มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ จึงช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็ง เช่น มะเร็งลำไส้ มะเร็งเต้านม มะเร็งตับ และมะเร็งผิวหนัง 

 

cr.kapook.com

น้ำมันมะพร้าวที่ดี สังเกตยังไง

 

น้ำมันมะพร้าวที่วางขายกันทั่วไปอาจมีหลายยี่ห้อ ทำให้เราตัดสินใจเลือกไม่ถูกว่าแบบไหนดีกว่ากัน

เรามีวิธีการสังเกตน้ำมันมะพร้าวที่ได้คุณภาพมาฝากค่ะ 

 

           ต้องมีความใส ไม่มีสี ลักษณะโปร่งแสง ไม่มีการตกตะกอน แต่การสังเกตจากข้อนี้อาจไม่ชัดเจน เพราะบางยี่ห้อก็บรรจุในขวดพลาสติกขุ่น หรือมีสี แต่ถ้าบรรจุขวดแก้วก็จะสังเกตได้ง่ายกว่า 

 

           ต้องมีกลิ่นหอมของมะพร้าว ไม่มีกลิ่นหืน หรือเปรี้ยว แม้ว่าจะมีการเปิดใช้หลายครั้งแล้ว แต่ด้วยกระบวนการผลิตในบางยี่ห้อ อาจมีการดัดแปลงโดยใช้น้ำหอมสังเคราะห์กลิ่นมะพร้าว หรือกลิ่นมะพร้าวน้ำหอมเข้าไป ทำให้มีกลิ่นหอมมากในตอนเปิดขวดแรก ๆ แต่หลังจากนั้นความหอมจะจางลง กลายเปลี่ยนเป็นเหม็นเปรี้ยว ซึ่งจะทำให้อายุของน้ำมันมะพร้าวอยู่ได้ไม่นาน 

 

           ต้องความหนืดน้อย สามารถกลืนลงคอได้อย่างง่ายดาย มีความรู้สึกเหมือนละลายในปาก ไม่ให้ความรู้สึกเลี่ยน หรือเมื่อนำไปทาผิวแล้ว สามารถซึมสู่ผิวได้เร็ว ไม่ทิ้งคราบน้ำมันลอยอยู่บนผิว

น้ำมันมะพร้าวทรอปิคานา น้ำมันมะพร้าวคุณภาพดีที่คุณสัมผัสได้ค่ะ

 

Cr.kapook.com

 

          สนใจสั่งสินค้าติดต่อ

โทร. 0874064722ไลน์

ไอดี coconutplaza

เว็บไซต์ www.coconutplaza.com

 

 

น้ำมันมะพร้าวมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อไวรัส แบ็คทีเรีย และเชื้อรา

น้ำมันมะพร้าวมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อไวรัส แบ็คทีเรีย และเชื้อรา จึงสามารถลดการเกิดโรคต่างๆและลดการติดเชื้อ สาเหตุสำคัญเป็นเพราะน้ำมันมะพร้าวอุดมด้วยกรดลอริค กรดคาปริลิค และกรดคาปริก ซึ่งกรดไขมันทั้ง 3 นี้ ไม่ว่าอยู่ในอาหารชนิดใด จะมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อโรค

น้ำมันมะพร้าว,coconut oil

น้ำมันมะพร้าวมีคุณสมบัติเป็นยาฆ่าเชื้อโรคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา เชื้อยีสต์ เชื้อไวรัส โปรโตซัว โดยไม่ทำให้เกิดอาการดื้อยาของเชื้อโรคและสามารถช่วยฆ่าเชื้อโรคบางชนิดที่เกราะไขมันห่อหุ้มเซลล์ ซึ่งยาปฏิชีวนะทั่วไปไม่สามารถฆ่าได้

 

น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น


น้ำมันมะพร้าวเมื่อแตกตัวเป็นกรดไขมันอิสระจะมีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อโรค การรับประทานน้ำมันมะพร้าวเป็นประจำจะทำให้เชื้อโรคร้ายต่างๆในร่างกายของเราลดลง ทำให้ไม่ค่อยเจ็บไข้ได้ป่วย การฆ่าเชื้อของน้ำมันมะพร้าวไม่เหมือนกับการฆ่าเชื้อด้วยยาปฎิชีวนะ จึงไม่ทำให้เชื้อเกิดการดื้อยา นอกจากนี้น้ำมันมะพร้าวยังช่วยขับถ่ายพยาธิอีกด้วย

สนใจสั่งซื้อได้ที่ 0874064722 เบอร์เดียวนะคะ

 

เครื่องสำอางจากน้ำมันมะพร้าว

จากบทความตอนที่แล้วเรื่อง "น้ำมันมะพร้าวช่วยผิวสวย" เราได้เล่าให้เพื่อนๆ ฟังไปแล้วว่าน้ำมันมะพร้าวมีสรรพคุณที่ดีต่อผิวของเราอย่างไรบ้าง กระทั่งสาวๆ ในสมัยโบราณรู้จักวิธีการนำน้ำมันมะพร้าวมาใช้บำรุงผิวพรรณกันมาเป็นเวลาช้านานแล้วแม้กระทั่งในปัจจุบัน ก็ยังคงมีการนำสารเคมีต่างๆ ที่ได้รับการสกัดจากน้ำมันมะพร้าวมาผสมใช้ในเครื่องสำอางกันอย่างกว้างขวาง

 

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการสกัดสารเหล่านี้ หรือกระบวนการในการผสมสารเคมีต่างๆ เข้าด้วยกัน ก็มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดผลที่ไม่พึงประสงค์ต่อผู้ใช้ ดังนั้นการใช้เครื่องบำรุงผิวที่เราทราบว่ามาจากธรรมชาติล้วนๆไม่ได้ผ่านกระบวนการทางเคมีอะไรมากมายมาใช้กับผิวพรรณของเรา จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่สาวๆ ที่ระมัดระวังต่อความเป็นพิษจากสารเคมีไม่ควรมองข้ามนะคะ

 

ในบทความนี้ เราจะมาดูกันว่าเราสามารถนำน้ำมันมะพร้าวมาผสมทำเป็นเครื่องบำรุงผิวอย่างไรได้บ้าง ว่าแล้วก็อย่ารอช้า เริ่มกันที่สูตรแรกเลยดีกว่า

 

1. มาส์กหน้าสูตรน้ำมันมะพร้าว


สูตรนี้เป็นสูตรสำหรับผู้ที่ผิวแห้งโดยเฉพาะ สูตรนี้จะช่วยบรรเทาอาการไหม้เนื่องจากการถูกแสงแดดและช่วยทำให้ผิวชุ่มชื้นขึ้นด้วยค่ะ


ไข่ไก่ 1 ใบ
น้ำมันมะพร้าว (เหลวแต่ไม่ต้องอุ่นให้ร้อนนะคะ) 1/2 ถ้วย
น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ


ตีไข่ทั้งใบจนเป็นฟองและเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วค่อยๆ เติมน้ำมันมะพร้าวลงไป จากนั้นก็เติมน้ำผึ้งลงไป ตีให้เข้ากันจนกระทั่งมาส์กเป็นเนื้อข้นคล้ายครีมสลัดมายองเนส (แหม ว่าเสียน่ากินเชียว แต่อย่าลืมนะคะ แม้จะกินได้ก็ท่องเอาไว้ค่ะว่านี่เอาไว้สำหรับมาส์กหน้าจ้ะ) จากนั้นก็จัดแจงหาเอาแกนกลางของกระดาษทิชชูมาหนึ่งอัน จับตั้งในชามใบใหญ่ๆ หน่อย ใช้ช้อนตักเอาส่วนผสมใส่ลงด้านในของแกนกระดาษ เอาแช่ช่องแข็งของตู้เย็นไว้หนึ่งคืน เมื่อต้องการใช้ก็ให้นำเอาท่อนกระดาษออกมา ฉีกเอากระดาษด้านบนออกสักหน่อย ให้ตัวมาส์กโผล่ออกมาเล็กน้อย (นึกถึงแท่งลิปสติก แบบนั้นล่ะค่ะ) แล้วทาลงบนผิวหน้า ทิ้งเอาไว้ 5-10 นาที จากนั้นล้างออกด้วยน้ำอุ่น หลังจากใช้ก็เอาพลาสติกบางๆ คลุมแท่งมาส์กเอาไว้แล้วใส่ตู้เย็นไว้ใช้ในครั้งต่อไปค่ะ

น้ำมันมะพร้าวกับการรักษาโรค

น้ำมันมะพร้าวกับการรักษาโรค

คุณรู้หรือไหมว่าน้ำมันมะพร้าว สามารถรักษาโรคได้ มหัศจรรย์ของน้ำมันมะพร้าวที่คุณต้องอึ้ง เกี่ยวกับรักษาโรคได้แทบทุกชนิด วันนี้ จะมาผ่ามะพร้าวพิสูจน์กันอีกครั้ง หลังที่ได้เผยเคล็ดลับด้านความงามกันมาแล้ว เพื่อที่จะให้ทุกคนที่รักสุขภาพได้สัมผัสประโยชน์ของน้ำมันมะพร้าวจริง ๆ 

น้ำมันมะพร้าวสามารถรักษาโรคได้แทบทุกชนิดป้องกันโรคหัวใจ เบาหวาน และมะเร็ง เสริมสร้างกระดูก และยังมีงานวิจัยเกี่ยวกับการรักษาโรคเอดส์ ไม่ทำให้อ้วนเพราะเผาผลาญได้เร็วจึงไม่สะสม และไม่ทำให้คอเลสเตอรอลสูงขึ้น และความที่เป็นกรดไขมันอิ่มตัวจึงช่วยควบคุมการเกิดออกซิเดชั่นของไขมันใน ร่างกาย ช่วยลดอนุมูลอิสระ ทำให้ผิวพรรณดี ไม่เหี่ยวย่นแก่ก่อนวัย

น้ำมันมะพร้าวรักษาโรค 
น้ำมันมะพร้าวมีฤทธิ์ในกาฆ่าเชื้อไวรัส แบคทีเรีย และเชื้อรา จึงสามารถลดการเกิดโรคต่าง ๆ และลดการติดเชื้อ ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานดีขึ้น ช่วยเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง ลดอนุมูลอิสระที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็ง ลดการเสื่อมของหลอดเลือดหัวใจ

 น้ำมันมะพร้าวช่วยป้องกันการเกิดโรคต่าง ๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ และโรคเบาหวาน โรคตับ โรคไต
เพราะน้ำมันมะพร้าวช่วยลดอนุมูลอิสระ ช่วยลดการเสื่อมของหลอดเลือดหัวใจ ลดการเสื่อมของดวงตาในกรณีของโรคเบาหวาน และลดอนุมูลอิสระที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็ง น้ำมันมะพร้าวจึงทำให้ร่างกายแข็งแรง ไม่เจ็บป่วยด้วยโรคต่างๆด้วยเหตุนี้
 น้ำมันมะพร้าวช่วยเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง
หากร่างกายขาดแคลเชี่ยมและแมกนีเซี่ยม จะทำให้กระดูกไม่แข็งแรง เกิดอาการกระดูกเปราะ แตกหักง่าย การรับประทานน้ำมันมะพร้าวเป็นประจำช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซับแคลเซี่ยมและ แม็กนีเซี่ยม จึงเป็นหนทางหนึ่งที่ช่วยเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง ไม่มีปัญหาโรค เหงือก เหงือกช้ำ บวม แดง หรือมีเลือดออกตามไรฟัน
 น้ำมันมะพร้าวมีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อ
น้ำมันมะพร้าวเมื่อแตกตัวเป็นกรดไขมันอิสระจะมีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อโรค การรับประทานน้ำมันมะพร้าวเป็นประจำจะทำให้เชื้อโรคร้ายต่างๆในร่างกายของ เราลดลง ทำให้ไม่ค่อยเจ็บไข้ได้ป่วย นอกจากนี้น้ำมันมะพร้าวยังช่วยขับถ่ายพยาธิ และมีการนำน้ำมันมะพร้าวมาทดลองกับเชื้อไวรัส HIV อีกด้วย
น้ำมันมะพร้าวกับเอดส์ มีผลการทดลองของน้ำมันมะพร้าวต่อไวรัส HIV จากโรงพยาบาล ซานลาซาโร ประเทศฟิลิปปินส์ โดยทำการทดลองใช้กับกลุ่มคนไข้อายุ 22-38 ปี ที่ไม่เคยรับการรักษา HIV มาก่อน มาทดลองเป็นเวลา 6 เดือน ผลการทดลองพบว่า ปริมาณไวรัสในเลือดและปริมาณของ CD4 (ซีดีโฟร์-ปริมาณของเซลล์เม็ดเลือดขาว) โดยให้คนไข้บางส่วนรับประทานน้ำมันมะพร้าววันละ 3½ ช้อนโต๊ะหรือน้อยกว่าเป็นประจำทุกวัน และให้คนไข้บางส่วนรับประทานโมโนลอริน ซึ่งเป็นโมโนกลีเซอร์ไรด์ของกรดลอริคในน้ำมันมะพร้าว เมื่อสิ้นสุดการทดลอง คนไข้ 8 ใน 14 คนมีปริมาณไวรัสในเลือดลดลง, 5 คนมีปริมาณ CD4 เพิ่มขึ้น และ 11 คนมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งทั้งหมดเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการมีสุขภาพดีขึ้น น.พ.คอนราโด เดย์ริท กล่าวว่า "ผลการทดลองนี้ยืนยันคำกล่าวที่ว่า น้ำมันมะพร้าวมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อและสามารถช่วยให้ปริมาณไวรัส HIV ลดลงได้"

วิธีรับประทานน้ำมันมะพร้าวที่ดีที่สุด คือใช้น้ำมันมะพร้าวแทนน้ำมันพืชชนิด อื่นๆในการปรุงอาหาร หรือจะรับประทานเป็นอาหารเสริมก็ได้ ผู้ใหญ่รับประทานวันละ 3-4 ช้อนชา เด็กวันละ 1-2 ช้อนชา โดยเฉลี่ยแบ่งรับประทานทีละน้อยจนครบจำนวนในแต่ละวัน หรือจะผสมในเครื่องดื่มร้อนๆเช่นโกโก้ร้อนหรือน้ำผลไม้อุ่นๆก็ได้ น้ำมะเขือเทศอุ่นผสมน้ำมันมะพร้าวมีรสชาติอร่อยมาก.

เทคนิคการับประทานน้ำมันมะพร้าวในรูปแบบต่าง ๆ
1. ใส่ผสมในน้ำผลไม้ (สูตรของ ดร.ณรงค์โฉมเฉลา ใส่ลงในน้ำส้มคั้นรับประทานทุกวัน)
2. ใส่ในแกงจืด อาหารแกงต่างๆ
3. ใช้เป็นน้ำสลัด
4. ราดบนน้ำแข็งใส ไอศกรีม (สูตรนี้เด็กชอบรับประทาน)
5. ใช้ทอดอาหาร อาหารจะไม่ชุ่มน้ำมัน และมีความกรอบได้นาน
6. ใส่ลงไปพร้อมการหุงข้าว จะทำให้ได้ข้าวนุ่ม หอม อร่อย (สูตรพิเศษใส่กระเทียมเล็ก 5-6 กลีบ และใบเตยโรยเกลือนิดหน่อยจะยิ่งทำให้อร่อยมากขึ้น)

ดังนั้น ลองเพิ่มน้ำมันมะพร้าวในมื้ออาหารของคุณกันนะค่ะ เพราะจะได้ประโยชน์ที่มากมายจากคุณค่าของน้ำมะพร้าวทั้งภายในและภายนอก สุขภาพดีจากโรคภัย สวยใสจากความงาม ความมหัศจรรย์ของน้ำมันมะพร้าว




 คลิกบำรุงเส้นผมอีกนิด เพื่อผมสุขภาพดี

 


 
"สูตรผมสวยด้วยน้ำมันมะพร้าวตำรับคุณยาย"

"สูตรผมสวยด้วยน้ำมันมะพร้าวตำรับคุณยาย"

 

เสน่ห์ผมหอมกรุ่น...ชวนหลงใหล

ใช้ดอกไม้มีกลิ่นหอมตามชอบใจ ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้สดอย่าง ดอกมะลิ (เลือกที่กำลังจะบาน) กุหลาบ (เลือกที่บานเต็มที่) ดอกแก้ว ดอกพุด เป็นต้น นำมาแช่ทิ้งไว้ในน้ำมันมะกอกนาน 3-6 ชั่วโมง ถ้าจะให้หอมมาก อาจแช่ทิ้งไว้นานถึง 1 คืนก็ได้ นอกจากนี้ อาจจะใช้ผิวมะกรูด นำน้ำมันมะพร้าวผสมลงไปประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ จากนั้น ให้นำส่วนผสมดังกล่าวมาหมักผมทิ้งไว้นานประมาณ 15-20 นาที แล้วค่อยล้างออกด้วยน้ำสะอาด อาจใช้สูตรที่ทำจากดอกไม้แห้งก็ได้ โดยจะต้องนำดอกไม้แห้งไปเคี่ยวกับน้ำมันมะกอกจนได้ส่วนผสมเช่นเดียวกัน

น้ำมันมะพร้าว– มีกรดไขมันอิ่มตัวประเภท Lauric acid ซึ่งเป็นกรดไขมันที่มีประโยชน์ มีคุณสมบัติในการยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย และประกอบไปด้วยสารที่ช่วยบำรุงเส้นผมและหนังศีรษะ ให้ผมนุ่มลื่นเงางาม วิตามินเอและอีจะช่วยป้องกันการทำลายเส้นผมจากแสงแดดและอนุมูลอิสระ

ผมนุ่มสลวยมีน้ำหนัก

ใช้กล้วยหอมที่สุกค่อนข้างจะงอม นำเอามายีหรือปั่นผสมกับน้ำมันมะพร้าว นำมาใช้หมักผมที่แห้งหมาดๆ แล้วทิ้งไว้เป็นเวลานาน 15-20 นาที เมื่อล้างออกแล้วให้ใช้มะกรูดเผา คั้นเอาน้ำมาชโลมผม นอกจากจะช่วยให้ผมมีน้ำหนัก และสปริงตัวได้อย่างเป็นธรรมชาติแล้ว ยังช่วยให้ผมมีกลิ่นหอมและไม่แห้งแตกปลายอีกด้วย

กล้วยหอม - มีองค์ประกอบของสารเพคตินที่จะช่วยเคลือบเส้นผม ให้ผมนุ่มมันเงา นุ่มลื่น โดยแร่ธาตุต่างๆ อาทิ ฟอสฟอรัส แคลเซียม ฯลฯ จะช่วยบำรุงเส้นผมและหนังศีรษะ ป้องกันเส้นผมถูกทำลายจากอนุมูลอิสระ

บำรุงผมไม่ให้ร่วง

ป้องการผมหลุดร่วง โดยบำรุงผมให้แข็งแรงถึงรากผมด้วยการใช้ขิงแก่นำมาบดแล้วห่อด้วยผ้าขาวบาง ผสมน้ำมันมะพร้าวประมาณ 2-3 ช้อนโต๊ะ นำมาคลึงที่หนังศีรษะให้ทั่วเป็นเวลานานประมาณ 15-20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด การประคบดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นรากผมให้ผมที่งอกขึ้นมามีรากผมที่แข็งแรง และไม่หลุดร่วง

ลดความมันของผม ปกป้องผมจากรังแค

ด้วยการใช้มะนาวหรือมะกรูดผสมกับน้ำมันมะพร้าวประมาณ 2-3 ช้อนโต๊ะ นำส่วนผสมดังกล่าวมาชโลมผม ทิ้งไว้ประมาณ 1-2 ชั่วโมงแล้วจึงล้างออก และสระด้วยยาสระผม และครีมบำรุงผม

มะกรูด - มีองค์ประกอบของสารไนอาซีน เหล็ก ฟอสฟอรัส แคลเซียม โปรตีน คาร์โบไฮเดรต และกรดอินทรีย์อื่นๆ ที่ช่วยบำรุงเส้นผมและหนังศีรษะ ทำให้เส้นผมนุ่ม มีน้ำหนัก เงางาม ดกดำ และไม่มีรังแค ช่วยปรับค่า pH ของเส้นผมที่มีค่าความเป็นด่างสูง ซึ่งเกิดขึ้นจากการใช้แชมพู อีกทั้งยังช่วยบำรุงผมไม่ให้หงอกก่อนวัย

ฟื้นฟูผมเสียสู่สภาพปกติ

บำรุงผมเสียให้กลับคืนสู่ผมที่มีสุขภาพดีได้ด้วยการนำว่านหางจระเข้มาปอกเปลือก นำไปปั่นให้ละเอียดผสมน้ำมันมะพร้าว 2-3 ช้อนโต๊ะ แล้วนำมาหมักผมไว้เป็นเวลานาน 30 นาที หรืออาจจะใช้ตะไคร้ ให้นำมาปั่นผสมน้ำมันมะพร้าวแล้วเอาน้ำมาหมักผมที่แตกปลายให้กลับสู่สภาพปกติได้ดี

 

น้ำมันมะพร้าวกับโรคมะเร็ง

โรคมะเร็งคืออะไร

 

มะเร็ง หรือทางการแพทย์ว่า เนื้องอกร้าย เป็นกลุ่มโรคที่เกี่ยวข้องกับการเจริญของเซลล์ที่ผิดปกติ คือ เซลล์จะแบ่งตัวและเจริญอย่างควบคุมไม่ได้ ก่อเป็นเนื้องอกร้าย และรุกรานร่างกายส่วนข้างเคียง มะเร็งอาจแพร่กระจายไปยังร่างกายส่วนที่อยู่ห่างไกลได้ผ่านระบบน้ำเหลืองหรือกระแสเลือด ไม่ใช่ว่าเนื้องอกทุกชนิดจะเป็นมะเร็ง เพราะเนื้องอกไม่ร้ายไม่ลุกลามอวัยวะข้างเคียงและไม่กระจายไปทั่วร่างกาย มีมะเร็งที่ส่งผลต่อมนุษย์ที่ทราบแล้วกว่า 200 ชนิด

สาเหตุของมะเร็งนั้นมีหลากหลาย ซับซ้อนและเข้าใจเพียงบางส่วนเท่านั้น มีหลายปัจจัยที่ทราบแล้วว่าเพิ่มปัจจัยเสี่ยงมะเร็ง ได้แก่ การสูบบุหรี่ ปัจจัยด้านอาหาร การติดเชื้อบางอย่าง การสัมผัสรังสี การขาดกิจกรรมทางกายความอ้วนและมลภาวะสิ่งแวดล้อม[2] ปัจจัยเหล่านี้สามารถทำให้ยีนเสียหายโดยตรงหรืออาจประกอบกับความบกพร่องทางพันธุกรรมที่มีอยู่เดิมในเซลล์ก่อให้เกิดการกลายพันธุ์เป็นมะเร็งได้[3] มะเร็งราว 5–10% สามารถติดตามไปยังความบกพร่องทางพันธุกรรมแต่กำเนิดโดยตรง[4] มะเร็งหลายชนิดสามารถป้องกันได้โดยการไม่สูบบุหรี่ ทานผัก ผลไม้และธัญพืชเต็มเมล็ด (whole grain) มากขึ้น ทานเนื้อและคาร์โบไฮเดรตขัดสี (refined) น้อยลง ควบคุมน้ำหนัก ออกกำลังกาย จำกัดการรับแสงอาทิตย์ และรับวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อบางชนิด]

มะเร็งสามารถตรวจพบได้หลายวิธี รวมทั้งการมีอาการและอาการแสดงบางอย่าง การตรวจคัดกรองโรค หรือการสร้างภาพทางการแพทย์ เมื่อตรวจพบว่ามีโอกาสเป็นมะเร็งแล้ว จะมีการวินิจฉัยโดยการตรวจตัวอย่างเนื้อเยื่อด้วยกล้องจุลทรรศน์ โดยปกติ มะเร็งรักษาด้วยเคมีบำบัด รังสีบำบัดและการผ่าตัด โอกาสการรอดชีวิตของโรคมีหลากหลายมากขึ้นอยู่กับชนิดและตำแหน่งของมะเร็งและขอบเขตของโรคเมื่อเริ่มต้นการรักษา มะเร็งสามารถเกิดในบุคคลทุกช่วงอายุ แต่ความเสี่ยงการกลายเป็นมะเร็งนั้นโดยปกติจะเพิ่มขึ้นตามอายุ ยกเว้นมะเร็งน้อยชนิดที่พบมากกว่าในเด็ก ในปี 2550 มะเร็งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตของมนุษย์ 13% ทั่วโลก (7.9 ล้านคน) อัตรานี้เพิ่มสูงขึ้นเพราะมีผู้รอดชีวิตถึงวัยชรามากขึ้นและมีการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตครั้งใหญ่ในประเทศกำลังพัฒนา

มะเร็งในประเทศไทย

ในปี พ.ศ. 2549 ประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตจากโรคมะเร็ง 66,000 ราย โดยในผู้ชายพบมะเร็งปอดมากที่สุด 5,535 ราย รองลงมาคือโรคมะเร็งตับ ส่วนผู้หญิงพบมะเร็งปากมดลูกมากที่สุด 1,484 ราย รองลงมาคือ มะเร็งปอดมะเร็งเต้านม

ในปี พ.ศ. 2553 สถิติมะเร็งที่พบมากที่สุด 10 อันดับแรกในประเทศไทย

อันดับโรคมะเร็งที่พบบ่อยในเพศชายจำนวน (%)โรคมะเร็งที่พบบ่อยในเพศหญิงจำนวน (%)
1 Trachea, Bronchus, Lung 23.6 Breast 47.8
2 Colon, Rectum 21.5 Cervix uteri 16.2
3 Liver, Bile ducts 17.3 Colon, Rectum 10.4
4 Esophagus 8.2 Trachea, Bronchus, Lung 7.1
5 Nasopharynx 6.6 Corpus uteri 4.0
6 Non-Hodgkin lymphoma 6.4 Ovary 4.0
7 Tongue 4.8 Liver, Bile ducts 3.5
8 Mouth 4.5 Thyroid 2.6
9 Larynx 3.7 Non-Hodgkin lymphoma 2.4
10 Stomach 3.6 Stomach 2.0

 

โภชนาการกับโรคมะเร็ง

การกินและพฤติกรรมเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่สามารถลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคได้เป็นอย่างมาก อาหารบางประเภท มีสารที่ต้านอนุมูลอิสระได้สูงและป้องกันการเกิดมะเร็งได้ดี เราเรียกอาหารประเภทนี้ว่า อาหารต้านมะเร็ง  โดย บรอกโคลี, อโวคาโด , แครอท, ฯลฯ เป็นหนึ่งในอาหารต้านมะเร็งที่สามารถหาซื้อได้ทั่วไป

จากการศึกษาพบว่า อาหารอาจมีส่วนสัมพันธ์ กับการเกิดโรคมะเร็งได้ประมาณ 30-50% แต่ในขณะเดียวกันอาหารประเภทพืชผัก ผลไม้ ธัญพืช และ เครื่องเทศต่างๆ ก็มี คุณสมบัติในการป้องกันมะเร็งได้ ดังนั้น การรับประทานอาหารอย่างถูกต้องตามหลัก โภชนาการ จึงเป็นหนทางหนึ่ง ซึ่งสามารถป้องกันโรคมะเร็งได้

การปฏิบัติป้องกันโรค
รับประทานผักตระกูลกะหล่ำให้มาก เช่น กะหล่าปลี, กะหล่ำดอก, ผักคะน้า, หัวผักกาด, บรอคโคลี่ เพื่อป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่, ลำไส้ส่วนปลาย, กระเพาะอาหาร และอวัยวะระบบทางเดินหายใจ
รับประทานอาหารที่มีกากมาก เช่น ผัก, ผลไม้, ข้าว, ข้าวโพด และเมล็ดธัญพืชอื่น ๆ เพื่อป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่
รับประทานอาหารที่มีเบต้าแคโรทีน และวิตามินเอสูง เช่น ผัก ผลไม้สีเขียว-เหลือง เพื่อป้องกันมะเร็งหลอดอาหาร กล่องเสียง และปอด
รับประทานอาหารที่มีวิตามินซีสูง เช่น ผัก ผลไม้ต่าง ๆ เพื่อป้องกันมะเร็งหลอดอาหาร และกระเพาะอาหาร
ควบคุมน้ำหนักตัว โรคอ้วนมีความสัมพันธ์กับโรคมะเร็งมดลูก, ถุงน้ำดี, เต้านม และลำไส้ใหญ่ การออกกำลังกายและการลดรับประทานอาหารที่ให้พลังงานสูง จะช่วยป้องกันมะเร็งเหล่านี้ได้

 

อาหารที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดมะเร็ง

  1. อาหารที่มีราขึ้นโดยเฉพาะราสีเขียว-สีเหลือง
  2. อาหารไขมันสูง
  3. อาหารเค็มจัด ส่วนไหม้เกรียมของอาหารปิ้ง ย่าง รมควัน และอาหารที่ถนอมด้วยเกลือ ดินประสิว

สาเหตุที่เราไม่เป็นมะเร็ง

มีสมมุติฐานที่ว่า คนเราทุกคนมีเซลล์มะเร็งอยู่ในร่างกาย แต่ที่เราเป็นมะเร็ง ก็เพราะเรามีระบบภูมิ

คุ้มกัน และเราจะเป็นมะเร็งก็ต่อเมื่อระบบภูมิคุ้มกันถูกทำลายจนไม่สามารถค่อสู้กับเซลล์มะเร็งได้

(Holleb 1986) แม้ว่าเราจะมีสารก่อมะเร็งอยู่ในร่างกาย แต่ถ้าภูมิคุ้มกันของเรายังทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ เราก็จะไม่เป้นมะเร็ง ดังนั้น ภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง จึงเป็นกุญแจสำคัญในการต่อสู้กับโรคมะเร็ง

มีปัจจัยหลายอย่าง ที่เราจะเพิ่มภูมิคุ้มกันเพื่อป้องกันโรคมะเร็ง เช่น การรับประทานอาหารอย่างถูกสุขลักษณะ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่าให้เกิดความเครียด พักผ่อนให้เพียงพอ ที่สำคัญก็คือ หลีกเลี่ยงการกระทำที่ส่งเสริมให้เกิดมะเร็ง เช่นการสูบบุหรี่ และการบริโภคน้ำมันไม่อิ่มตัว ประการสุดท้าย คือการเพิ่มภูมิคุ้มกัน โดยการบริโภคน้ำมันมะพร้าวเป็นประจำ (ดูคำอธิบายในตอนต่อไป)

ความสำคัญของน้ำมันมะพร้าว

น้ำมันมะพร้าว เป็นน้ำมันที่คนทั่วโลกนำมาใช้ประโยชน์ในการหุงต้ม เป็นสมุนไพรป้องกันรักษาโรค และเป็นเครื่องสำอางบำรุงความงามมาเป็นเวลาช้านาน โดยไม่เกิดผลเสียต่อสุขภาพ แต่เมื่อถูกสมาคมถั่วเหลืองอเมริกัน ชักชวนให้เลิกบริโภคน้ำมันมะพร้าวโดยอ้างว่าน้ำมันมะพร้าวเป็นน้ำมันอิ่มตัว

เป็นสาเหตุของโรคหัวใจ แล้วเปลี่ยนมาเป็นน้ำมันไม่อิ่มตัว เช่นน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด น้ำมันดอกทานตะวันน้ำมันดอกคำฝอยฯลฯ ผู้บริโภคกลับเป็นโรคสมัยใหม่ เช่นโรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคอ้วน รวมทั้งโรคมะเร็งด้วย มีการศึกษาพบว่า สาเหตุหนึ่งของการเกิดโรคมะเร็งก็คือ การบริโภคน้ำมันไม่อิ่มตัว

น้ำมันมะพร้าว สามารถใช้เป็นอาวุธต่อสู้กับมะเร็งได้ ข้อความนี้ไม่ได้เกิดจากการเล่าประสบการณ์ของผู้ป่วยเป็นโรคมะเร็งแต่เพียงอย่างเดียว แต่จากผลการวิจัยและศึกษาทางการแพทย์อีกด้วย

การบริโภคน้ำมันมะพร้าวอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยทำให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง และระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงนี้เอง ที่จะขัดขวางการเกิดเซลล์มะเร็ง ก่อนที่มันจะทำลายเซลล์อื่นๆ การพัฒนาระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง เป็นก้าวแรกในการป้องกันและการรักษาโรคมะเร็ง รวมทั้งโรคอื่นๆด้วย

บทความนี้จะได้กล่าวถึงคุณสมบัติที่ดีเด่นของน้ำมันมะพร้าว โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับโรคมะเร็ง บทบาททางสรีรวิทยาของน้ำมันมะพร้าวในการต่อต้านโรคมะเร็ง ตลอดจนการใช้น้ำมันมะพร้าวในการป้องกันและรักษาโรคมะเร็ง

 

 

 

บำรุงเส้นผมอีกนิด เพื่อผมสุขภาพดี


บำรุงเส้นผมอีกนิด (นิตยสารคู่หูเดินทาง)

ลองใช้วิธีนวดศีรษะกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตดูสิ การนวดหนังศีรษะจะช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนให้กับเส้นผม ซึ่งระบบไหลเวียนนี้จะช่วยให้ต่อมรากผมดูดซึมสารบำรุงที่จำเป็นต่อการงอกขึ้นมาใหม่แบบมีสุขภาพดี วิธีการคือ กดฝ่ามือลงบนท้ายทอยเบา ๆ แล้วขยับปลายนิ้วเป็นแนววงกลม จากนั้น กางมือให้กว้าง แล้วขยับปลายนิ้วเป็นแนววงกลมในขณะเลื่อนมือลงจากแนวเส้นผมทางด้านหน้าจนถึงกระหม่อม ทำอย่างน้อยสัปดาห์ละสองครั้งรับรองว่าเส้นผมของคุณจะดูมีประกายเงางามมากขึ้น 

จากนั้นแนะให้ทรีทเม้นต์เส้นผมด้วย การหมักน้ำมัน เป็นการปรับสภาพเส้นผมอย่างล้ำลึก เพื่อผลลัพธ์อันโดดเด่นลองทำก่อนเข้านอน จะช่วยให้คุณตื่นขึ้นมาพร้อมกับเส้นผมที่นุ่มสลวยและเป็นเงางาม วิธีการคือชโลมเส้นผมด้วยน้ำมันมะพร้าวหรือน้ำมันมะกอกให้ทั่ว สวมหมวกคลุมอาบน้ำทับไว้ แล้วทิ้งเอาไว้ข้ามคืน อย่าลืมใช้ผ้าขนหูปูทับหมอนเอาไว้ด้วย หมอนจะได้ไม่เปื้อนเมื่อตื่นนอนก็สระผมออกตามปกติ เชื่อไหมผมคุณจะนุ่มมากจนอดใจไม่ไหวต้องจับเส้นผมบ่อย ๆ เลยล่ะ



 




ขอขอบคุณข้อมูลจาก

วิธีการหมักผมด้วยน้ำมันมะพร้าว

น้ำมันมะพร้าวที่ดี ใช้หมักผมแล้วเห็นผล ต้องเป็นน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นบริสุทธิ์ 100% ไม่มีสารเจือปนเท่านั้น

 

 

สาวที่มีปัญหารังแค 
น้ำมันมะพร้าวเป็นกุญแจสำคัญเลยล่ะค่ะ เพราะมันจะทำให้รังแคบนหนังศีรษะของคุณค่อย ๆ 
หายไปอย่างไม่น่าเชื่อ 

            สำหรับวิธีการหมักผมนั้น 
ให้คุณใช้น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำอุ่นเล็กน้อย 
ชโลมผมทิ้งไว้ประมาณ 2-3 ชั่วโมงหรือหากเป็นวันหยุดก็สามารถหมักไว้ทั้งวันได้ 
ทำสัปดาห์ละ 3 ครั้งจะทำให้ปัญหารังแคบนหนังศีรษะของคุณค่อย ๆ หายไป 
และยังช่วยให้ผมคุณมีน้ำหนักขึ้นอีกด้วยค่ะ

     สาวผมเสีย 
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่มีผมเสียอย่างหนักไม่ว่าจากการดัด ทำสี ย้อม ยืด ก็ตาม ใจเย็น 
ๆ ค่ะ สมุนไพรที่นำมาหมักผมนั้นอาจจะเยอะหน่อยแต่รับรองว่าได้ผลเลยทีเดียว 
สำหรับสาวผมเสียนั้น 
ให้คุณหมักผมได้วันเว้นวันโดยใช้วัตถุดิบในการหมักผมที่ต่างกันไป 

            
โดยแบ่งเป็น 2 สูตร ดังนี้ สูตรแรกให้คุณใช้ไข่แดงผสมกับน้ำผึ้งและน้ำมันมะกอก 
ผสมให้เข้ากันแล้วหมักทิ้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมงก่อนล้างออกด้วยน้ำอุ่นแล้วสระตามปกติ 
จากนั้นให้เว้น 1 วัน ก่อนจะใช้สูตรที่สองคือ น้ำมันงา หรือน้ำมันมะพร้าวและไข่แดง 
ผสมให้เข้ากันแล้วหมักทิ้งไว้นาน ๆ แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น ทำอย่างนี้ไม่เกิน 2 
สัปดาห์คุณจะเริ่มเห็นผลค่ะ

บันทึกหมอแดง 02/01/ 2553 :: น้ำมันมะพร้าวรักษาโรคสะเก็ดเงิน –ภาค 2
บันทึกหมอแดง 02/01/ 2553:: น้ำมันมะพร้าวรักษาโรคสะเก็ดเงิน –ภาค 2
ผู้เขียนได้รู้จักเจ้าหน้าที่ระดับสูงทางการเงินท่านหนึ่ง วันที่พบ ได้เห็นอาการที่เล็บเป็นหลุม ผิวหนังเป็นผื่นมีขุย อาการเป็นมาก ได้ถามเขาว่า เป็นสะเก็ดเงินใช่ไหม? โรคนี้รักษาให้ทุเลาลงได้ แต่ไม่หายขาด เขาบอกว่าเป็นมา 20 กว่าปีแล้ว ไปหาหมอรักษาก็หลายที่ เข้าๆ ออก ๆ โรงพยาบาลหลายแห่ง คลินิก หรือสถานที่ที่ไหน บอกว่ารักษาได้ ไปมาหมด แต่ก็ไม่ดีขึ้นเท่าไร ค่ารักษาทางแผนปัจจุบันที่รักษาอยู่ก็แพงมาก คอร์สละไม่ต่ำกว่า 20,000 บาท วิธีที่หมอรักษา ทั้งฉายแสง โดยใหรังสี UVB 3-5 ครั้ง/สัปดาห์ เป็นเวลา 3 เดือน หลังจากนั้น 1-2 ครั้ง /สัปดาห์ อาการก็แค่ทุเลาลง

 

สักพักก็กลับมาเป็นหนักอีก เสียเวลาในการทำงานมาก ส่งนยารับประทานใช้ยาเม็คโธเทร็กเซ็ต บางครั้งก็เป็นยานิไอลอน, นิคาสัน แล้วแต่หมอจัดให้ ยาแต่ละชนิด ก็ส่งผลข้าเคียง เช่นมีอาการผมร่วง คลื่นไส้ กินไม่ลง เจ็บท้อง มีผลต่อตับและปอด เป็นหวัดง่าย ยาทาพวกสเตอรอยด์ แรกๆก็ให้ผลดี ถ้าใช้นานเกิน 1 สัปดาห์ ก็มีผลข้างเคียงได้ ส่วนน้ำมันดิน ก็ใช้ได้ผลบ้าง แต่เลอะเทอะสกปรกเวลาใช้ และมีกลิ่นไม่ดี
ถ้าใครไม่เป็นจะไม่รู้ว่ามันทรมานแค่ไหน ไปอยู่ที่ไหนสังคมก็รังเกียจ ผู้เขียนเลยบอกเขาว่า โรคนี้สามารถรักษาให้ทุเลาลงได้ แต่ไม่หายขาด วิธีการรักษาก็ไม่ยุ่งยาก เขารีบพูดว่า บอกมาเถอะไม่หายก็ไม่เป็นไร ขอเพียงทุเลาบ้างก็พอ 
สูตรของผู้เขียน ที่บอกให้ผู้ป่วยโรคนี้ใช้ ได้ผลไม่ต่ำก่ว่า 50% มาก่อน วิธีเพียงใช้น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ ดังนี้

 

  1. ใช้ทา ตรงส่วนที่เป็นได้ทั้งหมด ผมหรือหนังศรีษะ วันละไม่ต่ำกว่า 3 ครั้ง/วัน ไม่เหนียวเลอะเทอะ ทาไปสักพักหนึ่ง น้ำมันก็จะซึมสู่ผิว
  2. ใช้รับประทาน ตื่นเช้ารับประทาน 2 ช้อนโต๊ะ ร่วมกับน้ำมันโอเมกา 3 จำนวน 2 แคปซูล และขมิ้นชัน 5 เม็ด และก่อนนอน 2 ช้อนโต๊ะ น้ำมันโอเมกา 3 จำนวน 2 แคปซูล ขมิ้นชัน 5 แคปซูล (เหมือนตอนเช้า) 
    หลังจากบอกสูตร การใช้ไปเป็นเวลา 10 วัน เขาได้โทรฯมาหา กล่าวคำขอบคุณกับผู้เขียน อย่างมาก ขอบคุณแล้วขอบคุณอีก แจ้งว่าโรคที่เป็นอยู่ทุเลาลงไม่ต่ำกว่า 70% เหลือเชื่อมาก นี่ขนาดยังไม่ได้ทานขมิ้นชันนะ ผู้เขียนบอกไปว่า ถ้าอยากให้ดีขึ้นกว่านี้ ควรรับประทานขมิ้นชันและเพิ่มสูตรน้ำสับปะรด น้ำมะละกอดิบ และน้ำใบตำลึง โดยให้ใช้เครื่องปั่นแยกกากและน้ำ โดยดื่มเฉพาะน้ำเท่านั้น ดื่มภายใน 5 นาที เพื่อให้ร่างกายได้รับเอนไซม์เพิ่มขึ้น
    - น้ำสับปะรด มีเอนไซม์บรอมีเลน (Brome lain) - ย่อยโปรตีน 
    - น้ำมะละกอดิบ มีเอนไซม์ปาเปน (Papain) - ย่อยโปรตีน
    - น้ำใบตำลึงดิบ มีเอนไซม์อะไมเลส (Amylase) - ย่อยแป้ง
    เอนไซม์เป็นพลังชีวิต ช่วยให้ร่างกายแข็งแรงและมีภูมิต้านทานดีขึ้น โดยแนะนำให้เขารับประทานผักสด ผลไม้ ในอาหารทุกๆ มื้อ และพยายามหลีกเลี่ยง แป้งขีดขาว น้ำตาลทรายขาว กาแฟ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด ก็จะทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานมากขึ้น 
    เวลาผ่านไป 2 เดือนกว่า ได้คุยกับเขาอีก บอกว่าตอนนี้อาการที่เป็นอยู่ทุเลลงไม่ต่ำกว่า 80% ระยะเวลาที่เคยเป็นโรคนี้มา 20 ปี ยังไม่มีครั้งไหนดีเท่านี้ มาก่อนเลย ไปหาหมอๆ ยังทักไปทำอะไรมาถึงดีขึ้น แต่ไม่ได้บอกไป 
    ผู้เขียนเลยถามไปว่ารับประทานครบสูตรหรือเปล่า เขาตอบว่า “ทานครับ ยกเว้นการรับประทานน้ำเอนไซม์ เพราะยังไม่ได้ซื้อเครื่องปั่นมาคั้น แต่รับประทานเป็นของสดแทน” ผู้เขียนได้แนะนำเพิ่มเติมไปอีดนิดหนึ่งว่า ให้งดอาหารที่ใช้น้ำมันที่ผ่านขบวนการ RBD (ผ่านกรรมวิธี) ยิ่งน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด ทานาตะวัน รำข้าว จะมีกรดไขมันโอเมกา 6 สูง ซึ่งปกติ อัตราส่วนที่เหมาะสมคือ โอเมกา 6: โอเมกา 3 2:1 แต่ปัจจุบัน อาหารแทบทุกชนิดมี โอเมกา 6 เป็นส่วนใหญ่ ทำให้อัตราส่วน เป็น 40:1 ซึ่งถ้า โอเมกา 6 มากไป จะทำให้เกิดการอับเสบ (เพราะมีพรอสตาแกลนดินสูง) 
    แม้ว่า โอเมกา 3 ที่มีอยู่ในน้ำมันไม่อิ่มตัวในรูปของกรดไลโนเลนิก แต่มีปริมาณน้อยมมาก เมื่อเทียบกับโอเมกา 6 ที่อยู่ในรูปของกรดไลโนเลอีก อีกทั้งน้ำมันทั้งสองยังเป็นน้ำมันไม่อิ่มตัวที่ถูกเติมออกซิเจนตลอดเวลา ก่อให้เกิดอนุมูลอิสระ ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ จึงไม่ควรบริโภคน้ำมันไม่อิ่มตัวทุกชนิด 
    โดย รุจน์ สุวรรณเสรีเกษม กรรมการกลาง ชมรมอนุรักษ์และพัฒนาน้ำมันมะพร้าว กัลปพฤกษ์ ฉบับที่ 9 ประจำเดือน ตุลาคม 2552