โพสต์: 12 years ago อ้าง #67
<p style="text-align: right; margin: 0px"><font size="3"><span style="font-style: italic; font-size: 14pt">โดย ดร.</span></font><font size="3"><span style="font-style: italic; font-size: 14pt">ณรงค์ โฉมเฉลา ประธานชมรมอนุรักษ์และพัฒนาน้ำมันมะพร้าวแห่งประเทศไทย</span></font></p><br />
<font size="3"><span style="font-weight: bold">3.3 กินไขมันไม่เพียงพอ</span></font><font size="3"><br />
<br />
&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;คุณเป็น<a shape="rect" href="http://www.coconutplaza.com/default.aspx" target="_self">คนอ้วน</a>ด้วยคนหนึ่งใช่ไหม? แล้วคุณก็ได้พยายามลดความอ้วนโดยการรับประทานอาหารประเภทไขมันต่ำมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แต่ไม่สำเร็จ (เพราะถ้าสำเร็จ คุณก็คงไม่ต้องพยายามหลายครั้งหลายหนหรอก!) คุณไม่ใช่คนเดียวหรอกที่อ้วน เพราะคุณมีสมัครพรรคพวกที่นับวัน ก็จะกลายเป็นคนหมู่มากในสังคมปัจจุบัน และทุกคนก็หาวิธีลดความอ้วนต่างๆนานา มีสถิติที่น่าสนใจ กล่าวคือ คนอ้วน 2 ใน 3 คนที่ลดน้ำหนักได้โดยการรับประทานอาหารประเภทไขมันต่ำ กลับเพิ่มน่ำหนักขึ้นอีกภายในหนึ่งปี และหลังจากนั้น 5 ปี 97 คนใน 100 คน กลับอ้วนขึ้นดังเดิม นั่นหมายความว่า การลดน้ำหนักโดยการรับประทานอาหารประเภทไขมันต่ำเป็นความล้มเหลวถึง 97%<br />
<br />
</font><span style="font-style: italic; font-size: 18pt">&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;</span><span style="font-style: italic; font-size: 18pt; font-weight: bold; text-decoration: underline">การที่คุณอ้วน เป็นเพราะคุณบริโภคไขมันไม่เพียงพอ</span><span style="font-style: italic; font-size: 18pt; font-weight: bold"> </span><font size="3">ถูกแล้วครับ ประโยคที่คุณเพิ่งอ่านผ่านไป ไม่ผิดหรอกครับ เหตุที่คุณคิดว่าผิด ก็เพราะว่าคุณได้รับข้อมูลที่ว่า ไขมันเป็นตัวการของความอ้วน ที่บรรดาผู้เชี่ยวชาญทั้งหลาย พยายามที่จะปรักปรำไขมัน จนทำให้ทุกคนพากันรังเกียจ และคิดเอาว่าไขมันคือ ไอ้ตัวร้าย ที่ต้องหลีกเลี่ยงในการบริโภคอาหารแต่ละมื้อ เดี๋ยวนี้ เราพากันบริโภคไขมันน้อยลง แต่ก่อนเรากินนมเต็มส่วน (Whole milk ) เนยและไข่ และยังชอบรับประทานไขมันที่ติดมากับเนื้อ หมู และไก่ (เพราะมันอร่อยดี) อาหารที่ผัด / ทอด ต้องใช้น้ำมันหมู หรือน้ำมันมะพร้าว แต่เดี๋ยวนี้ เราขยะแขยงไขมันราวกับว่ามันเป็นผีห่าซาตาน ตามชั้นในร้านชำ หรือซุปเปอร์มาเก็ต ก็เต็มไปด้วยอาหารที่มีฉลากระบุว่าเป็นอาหารพร่องไขมัน ไขมันต่ำ หรือปราศจากไขมัน ที่ขายกันในราคาสูงลิบลิ่ว ภัตตาคารและร้านอาหารทั่วไป ก็บริการท่านด้วยอาหารไขมันต่ำ หรือพร่องไขมัน ตลอดเวลา 30 ปี ที่ผ่านมา เราบริโภคไขมันลดลง 11% และลดแคลลอรี่รวมลงไป 4% ถึงกระนั้นพวกเราส่วนใหญ่ก็กลับอ้วนเอาๆ<br />
<br />
&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในปัจจุบันคนอเมริกันเกือบ 60 % มีน้ำหนักเกินมาตรฐาน ในจำนวนนี้ 31% เป็นโรคอ้วน ซึ่งสูงเป็นสองเท่าของเมื่อ 20 ปีก่อน แม้แต่เด็กๆของเราก็อ้วนขึ้น ในบรรดาเด็กที่มีอายุ 6-19 ปี 15% มีน้ำหนักเกินอย่างรุนแรง สำหรับเด็กอเมริกัน มีจำนวนถึง 9 ล้านคน มากเป็น 3 เท่าของเมื่อ 30 ปีก่อน นับตั้งแต่กระแสการบริโภคไขมันต่ำเกิดขึ้นเมื่อทศวรรษปี 1970 เราทุกคนต่างก็อ้วนขึ้น และอ้วนขึ้น มีความจริงอย่างหนึ่งคือ ใครก็ตามที่ลดการบริโภคไขมันมากที่สุด และกินน้อยที่สุด กลับมีปัญหามากที่สุดในการลดน้ำหนักตัว </font><font size="3"><span style="font-weight: bold">คุณเคยเห็นคนที่มีรูปร่างบอบบาง ที่กินอาหารที่มีแต่ไขมันอย่างพายุ แต่ไม่ยักกะอ้วน บ้างไหม?&nbsp; แต่ตัวท่านเอง ซึ่งไม่ยอมกินข้าว กินแต่ผักสลัด ราดด้วยน้ำสลัดไขมันต่ำ กลับมีน้ำหนักเพิ่มเอาๆ<br />
<br />
&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;</span></font><font size="3">มีผลงานวิจัยที่แสดงว่า คนที่บริโภคอาหารที่มีไขมันอย่างพอเพียง จะกินอาหารน้อยกว่าคนที่พยายามลดปริมาณไขมันในอาหาร ยิ่งคุณกินน้อยลงเท่าไหร่ ปริมาณแคลลอรี่ก็จะน้อยตามไปด้วย การได้ปริมาณไขมันในอาหารอย่างพอเพียง มีความจำเป็นสำหรับการลดน้ำหนักอย่างมีประสิทธิภาพและอย่างถาวร <br />
<br />
&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;มีหลักทางจิตวิทยาอันหนึ่ง ก็คือ เมื่อคนเราหิวหลังจากกินอาหารแต่ละมื้อ เราจะกินอาหารมื้อต่อไปมากขึ้น เหตุผลอันหนึ่งที่ไขมันมีความจำเป็นสำหรับการลดความอ้วนก็เพราะมันทำให้เราอิ่มทน ไม่หิวเร็ว ดังนั้น จึงไม่เดความอยากกิน ผลก็คือ เรา<a shape="rect" href="http://www.coconutplaza.com/default.aspx" target="_self">กินอาหารน้อยลง</a>&nbsp;<br />
<br />
&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;<a shape="rect" href="http://www.coconutplaza.com/default.aspx" target="_self">ไขมัน</a>เป็นตัวการที่ทำให้ท้องว่างช้าลง เราจึงรู้สึกอิ่มนานขึ้น เมื่อเราหิวน้อยลงระหว่างมื้ออาหาร เราก็จะเลิกกินจุกกินจิก และกินอาหารในมื้อต่อไปน้อยลง ผลก็คือ เราบริโภคแคลอรี่โดยรวมต่อวันน้อยลง แม้ว่าไขมันจะมีแคลอรี่มากกว่าโปรตีนและคาร์โบไฮเดรต แต่ผลที่มันไปลดความอยากกิน ก็มีมากกว่าปริมาณแคลอรี่ที่มันมีมากกว่า และนี่เอง เป็นสาเหตุที่ทำให้ท้องเรา<a shape="rect" href="http://www.coconutplaza.com/default.aspx" target="_self">อิ่มนาน</a>ขึ้น จึงกินอาหารในมื้อถัดไปน้อยลง</font>